กรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก Starbucks

กรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก Starbucks

Table of Contents

กรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก Starbucks

กรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก Starbucks พลิกโฉมกาแฟธรรมดาให้กลายเป็น “ไลฟ์สไตล์”

 


 

Starbucks: ตำนานที่พลิกโฉมกาแฟ

สู่การเป็น “ไลฟ์สไตล์” และ “สถานที่ที่สาม” ของผู้คนทั่วโลก

 

จุดกำเนิดและวิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนโลก

จากร้านขายเมล็ดกาแฟเล็กๆ ในปี 1971 สู่แบรนด์ระดับโลก เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของชายคนหนึ่งที่ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมร้านกาแฟในอิตาลี เพื่อสร้างพื้นที่ที่เป็นมากกว่าที่บ้านและที่ทำงาน

พ.ศ. 2514

ก่อตั้ง ณ ตลาดไพก์เพลซ ซีแอตเทิล

🇮🇹

1982

โฮเวิร์ด ชูลท์ซ ได้แรงบันดาลใจจากมิลาน

🌍

“สถานที่ที่สาม”

สร้างชุมชนและพื้นที่แห่งการพบปะ

แก่นแท้ของ “เศรษฐกิจแห่งประสบการณ์”

ความสำเร็จของสตาร์บัคส์ไม่ได้อยู่ที่กาแฟ แต่อยู่ที่การสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่จับต้องไม่ได้ซึ่งยากต่อการลอกเลียนแบบ ผ่าน 3 เสาหลักที่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว

บรรยากาศอบอุ่น
(สถานที่ที่สาม)
บริการที่เป็นเลิศ
(พาร์ทเนอร์)
เครื่องดื่มเฉพาะตัว
(การปรับแต่ง)

ผลลัพธ์: ความภักดีต่อแบรนด์ที่ทำให้ลูกค้าเต็มใจจ่ายในราคาที่สูงกว่าคู่แข่งถึง 25%

ดาบสองคมแห่งดิจิทัล: ความสะดวกสบาย vs. ชุมชน

นวัตกรรม Digital Flywheel และแอปพลิเคชันมือถือได้เพิ่มความสะดวกสบายและสร้างความภักดีอย่างมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็เริ่มบั่นทอนปรัชญา “สถานที่ที่สาม” ที่เน้นการปฏิสัมพันธ์และใช้เวลาในร้าน

วิสัยทัศน์ดั้งเดิม

เน้นการสร้างชุมชนและประสบการณ์ในร้านเป็นหัวใจสำคัญ

ความเป็นจริงในยุคดิจิทัล

ความเร็วและประสิทธิภาพกลายเป็นปัจจัยหลัก ลดทอนการปฏิสัมพันธ์

การรับมือวิกฤต: เมื่อการกระทำดังกว่าคำพูด

ในปี 2018 สตาร์บัคส์เผชิญวิกฤตด้านภาพลักษณ์ครั้งใหญ่จากเหตุการณ์อคติทางเชื้อชาติ แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยคำพูด แบรนด์เลือกที่จะแสดงความรับผิดชอบผ่านการกระทำที่จับต้องได้และมีราคาที่ต้องจ่าย

8,000

สาขาที่ปิดให้บริการ

เพื่อฝึกอบรมพนักงานเรื่องอคติทางเชื้อชาติเป็นเวลา 1 วัน

16.7 ล้านเหรียญสหรัฐ

มูลค่าความเสียหาย

ที่ยอมแลกเพื่อลงทุนในคุณค่าของแบรนด์และความเชื่อมั่นจากสังคม

จิตวิญญาณท้องถิ่น: เรื่องราวของสตาร์บัคส์ในประเทศไทย

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ไม่ได้เป็นเพียงแค่สาขาของแบรนด์ระดับโลก แต่ได้ปรับตัวและฝังรากลึกเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน

เป้าหมายการเติบโตสู่ปี 2030

ขยายสาขาจากปัจจุบันสู่ 800 แห่ง โดยเน้นรูปแบบ Drive-Thru และ Greener Stores

🤝

กว่า 27 ล้านบาท

มอบผ่านโครงการ Community Store และกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทย

♻️

กว่า 29 ล้านใบ

คือจำนวนแก้วใช้แล้วทิ้งที่ลดลงได้จากแคมเปญให้ลูกค้านำแก้วมาเอง

 

Infographic สร้างจากข้อมูลรายงาน “Starbucks: กาแฟสู่ไลฟ์สไตล์”

 

รายงานพิเศษ: สตาร์บัคส์ – ตำนานที่พลิกโฉมกาแฟให้กลายเป็น “ไลฟ์สไตล์”

 

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเจาะลึกกรณีศึกษาทางธุรกิจของสตาร์บัคส์ (Starbucks) แบรนด์ระดับโลกที่ไม่ได้ขายเพียงแค่กาแฟ แต่ขายประสบการณ์และไลฟ์สไตล์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและบทเรียนอันลึกซึ้งให้กับผู้ฟังพอดแคสต์

 

ส่วนที่ 1: ตำนานนางเงือก – จากสินค้าโภคภัณฑ์สู่รากฐานทางวัฒนธรรม

 

การเดินทางของสตาร์บัคส์ไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นร้านกาแฟที่รู้จักกันดีในทุกวันนี้ แต่เป็นเรื่องราวของการมองเห็นโอกาสในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และการเปลี่ยนวิสัยทัศน์ส่วนตัวให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก

 

จุดกำเนิดอันเรียบง่าย: ร้านขายเมล็ดกาแฟ

 

สตาร์บัคส์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1971 ณ ตลาดไพก์เพลซ (Pike Place Market) เมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา 1 ในช่วงแรก บริษัทมุ่งมั่นที่จะขายเพียงเมล็ดกาแฟคั่วคุณภาพสูงเท่านั้น โดยไม่ได้ขายกาแฟสำเร็จรูปพร้อมดื่ม และชื่อของบริษัทได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายคลาสสิกเรื่อง “โมบี-ดิก” (Moby-Dick) ซึ่งชวนให้นึกถึงประเพณีการเดินเรือของพ่อค้ากาแฟในยุคแรก 2 การเริ่มต้นนี้แสดงให้เห็นว่าแก่นแท้ของสตาร์บัคส์อยู่ที่ความมุ่งมั่นในคุณภาพของเมล็ดกาแฟมาตั้งแต่ต้น แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัทได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวิสัยทัศน์ของคนคนหนึ่งได้เข้ามามีบทบาท

 

ผู้สร้างแรงบันดาลใจโดยบังเอิญ: การเดินทางที่พลิกชะตาของโฮเวิร์ด ชูลท์ซ

 

เรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของสตาร์บัคส์ไม่อาจสมบูรณ์ได้หากปราศจากชื่อของ โฮเวิร์ด ชูลท์ซ อดีตซีอีโอผู้เป็นตำนาน 3 ในปี ค.ศ. 1982 ขณะที่เขายังเป็นพนักงาน เขาได้เดินทางไปเยือนเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี และสิ่งที่เขาได้พบเจอได้เปลี่ยนมุมมองของเขาไปตลอดกาล 2 เขาไม่ได้แค่เห็นร้านกาแฟ แต่เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศการรวมตัวของผู้คนในฐานะชุมชน ที่ซึ่งผู้คนมารวมตัวกันเพื่อจิบกาแฟดีๆ และพูดคุยกัน 3

ในฐานะลูกจ้างบริษัท ชูลท์ซได้นำเสนอแนวคิดนี้ต่อผู้ก่อตั้ง แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากพวกเขาต้องการยึดมั่นในปรัชญาดั้งเดิมของการเป็นเพียงร้านค้าปลีกเมล็ดกาแฟ 3 การที่เขาต้องเติบโตมาในย่านที่อยู่อาศัยของรัฐบาล (Public Housing) ในบรูคลิน ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างหดหู่ ทำให้เขาเข้าใจถึงความต้องการพื้นที่รวมตัวทางสังคมอย่างลึกซึ้ง 3 วิสัยทัศน์ของเขาจึงไม่ใช่แค่แนวคิดทางธุรกิจ แต่เกิดจากความเข้าใจส่วนตัวถึงความปรารถนาขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องการสถานที่ที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ซึ่งไม่ใช่บ้านหรือที่ทำงาน 4 ความหลงใหลในวิสัยทัศน์นี้ผลักดันให้เขาต้องออกจากสตาร์บัคส์เพื่อก่อตั้งบริษัทของตัวเอง ก่อนที่จะกลับมาซื้อกิจการและนำสตาร์บัคส์เข้าสู่ยุคใหม่ การเปลี่ยนวิสัยทัศน์ส่วนตัวให้กลายเป็นกลยุทธ์ของแบรนด์นี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้สตาร์บัคส์เติบโตอย่างก้าวกระโดด

 

ส่วนที่ 2: กายวิภาคของ “เศรษฐกิจแห่งประสบการณ์”

 

หากสตาร์บัคส์ขายกาแฟเพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ สิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้เป็นที่จดจำคือการสร้างสรรค์ “ประสบการณ์” ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้อย่างพิถีพิถัน

 

ปฏิญญา “สถานที่ที่สาม”: พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ระหว่างโลกสองใบ

 

สตาร์บัคส์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการนำแนวคิดทางสังคมวิทยาเรื่อง “สถานที่ที่สาม” (Third Place) มาเป็นแก่นของแบรนด์ 5 เดิมทีแนวคิดนี้ถูกคิดค้นโดยนักสังคมวิทยาชื่อ เรย์ โอลเดนเบิร์ก ซึ่งหมายถึงพื้นที่สาธารณะที่ไม่ใช่บ้าน (สถานที่ที่หนึ่ง) และไม่ใช่ที่ทำงาน (สถานที่ที่สอง) แต่เป็นสถานที่ที่ผู้คนสามารถมาพบปะสังสรรค์กันได้อย่างสมัครใจ 5 สตาร์บัคส์ไม่ได้เป็นผู้คิดค้นคำนี้ แต่สามารถนำมาใช้จนกลายเป็นคำที่คนทั่วโลกนึกถึงเมื่อพูดถึงแบรนด์นี้ 5

การออกแบบร้านสะท้อนแนวคิดนี้อย่างชัดเจน สตาร์บัคส์สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและน่าดึงดูดใจด้วยโซฟาบุหนา โต๊ะขนาดใหญ่ และแสงไฟที่นุ่มนวล เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้าเข้ามานั่งนานๆ และทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่การนัดพบปะเพื่อนฝูง อ่านหนังสือ หรือทำงานคนเดียว 7 การสร้างบรรยากาศที่สบายและผ่อนคลายนี้ช่วยให้สตาร์บัคส์สามารถขายเครื่องดื่มในราคาสูงได้ เนื่องจากลูกค้าไม่ได้จ่ายเพื่อซื้อแค่กาแฟ แต่จ่ายเพื่อซื้อประสบการณ์และบรรยากาศในร้าน 7 การสร้างความผูกพันทางอารมณ์นี้คือสิ่งที่เปลี่ยนสตาร์บัคส์จากเพียงร้านกาแฟให้กลายเป็นสถานที่ทางวัฒนธรรม

 

ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล: พาร์ทเนอร์คือหัวใจสำคัญ

 

องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการมอบประสบการณ์ที่พิเศษให้กับลูกค้าคือพนักงาน สตาร์บัคส์เรียกพนักงานของตนว่า “พาร์ทเนอร์” (Partners) ซึ่งสะท้อนถึงความเท่าเทียมกันและความมุ่งมั่นร่วมกัน 10 สตาร์บัคส์ลงทุนอย่างมหาศาลกับการฝึกอบรมพาร์ทเนอร์ โดยมีเหตุการณ์ที่โด่งดังคือการยอมปิดร้านกว่า 8,000 สาขาในสหรัฐฯ เพื่อฝึกอบรมพนักงานในเรื่องการบริการลูกค้าและการสื่อสาร ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับผู้คนในขณะนั้นเป็นอย่างมาก 10

พาร์ทเนอร์ได้รับการฝึกฝนให้สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยรอยยิ้มที่แตกต่างจากร้านอื่น และบางครั้งสามารถจดจำชื่อลูกค้าได้โดยไม่ต้องบอก 10 การสร้างปฏิสัมพันธ์นี้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ยากจะลอกเลียนแบบ 13 เพราะเมื่อพาร์ทเนอร์รู้สึกภูมิใจและเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะส่งมอบบริการที่ยอดเยี่ยม ซึ่งจะช่วยสร้างความภักดีให้กับลูกค้าและทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

 

การสร้างแบรนด์ทางประสาทสัมผัสและผลิตภัณฑ์ที่กลายเป็นผืนผ้าใบ

 

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของสตาร์บัคส์มุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องและสม่ำเสมอในทุกสาขาทั่วโลก 11 จากโลโก้นางเงือกอันเป็นเอกลักษณ์ไปจนถึงการตกแต่งภายในร้านที่อบอุ่นและเป็นที่จดจำ 9 แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์โดดเด่นอย่างแท้จริงคือการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เป็นผืนผ้าใบสำหรับลูกค้า

สตาร์บัคส์ไม่ได้ขายกาแฟเพียงแก้วเดียว แต่ขายตัวเลือกการปรับแต่งที่แทบจะไร้ขีดจำกัด 8 ตั้งแต่นมทางเลือกไปจนถึงไซรัปต่างๆ ที่ลูกค้าสามารถผสมผสานได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ “เมนูลับ” ที่ลูกค้าบอกต่อกันเองยังช่วยสร้างความรู้สึกของการมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนผู้รู้ 8 การเขียนชื่อลูกค้าลงบนแก้ว 7 เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์นี้ที่ทำให้ลูกค้าแต่ละคนรู้สึกว่าเครื่องดื่มของตนนั้นพิเศษและเป็นของตัวเองจริงๆ 16 ด้วยการมอบอำนาจให้ลูกค้าเป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์เครื่องดื่มของตนเอง สตาร์บัคส์จึงสามารถเปลี่ยนการซื้อขายที่เรียบง่ายให้กลายเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล

 

ส่วนที่ 3: ธุรกิจแห่งศรัทธา – จากความหลงใหลสู่ผลกำไร

 

สตาร์บัคส์สามารถเปลี่ยนความผูกพันทางอารมณ์ให้กลายเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาล และก้าวข้ามจากร้านกาแฟไปสู่การเป็นแบรนด์ที่มีระบบนิเวศทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง

 

ราคาพรีเมียมที่มาพร้อมคุณค่าที่ลูกค้าเต็มใจจ่าย

 

หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของสตาร์บัคส์คือการสามารถกำหนดราคาเครื่องดื่มให้สูงกว่าคู่แข่งในตลาดได้อย่างมั่นใจ โดยสตาร์บัคส์ขายกาแฟในราคาที่สูงกว่าแบรนด์อื่นอย่างน้อย 25% 17 เหตุผลที่ลูกค้าเต็มใจจ่ายในราคาที่สูงกว่านั้นไม่ใช่เพราะรสชาติกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการที่สตาร์บัคส์ขาย “ประสบการณ์” ที่เหนือกว่าด้วยการผสมผสานคุณภาพของผลิตภัณฑ์เข้ากับบรรยากาศที่น่าดึงดูดใจและการบริการที่เป็นกันเอง 9 ทำให้ลูกค้ามองว่าการมาสตาร์บัคส์คือความหรูหราที่เข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน

 

วงล้อดิจิทัล: ดาบสองคมแห่งความสะดวกสบาย

 

สตาร์บัคส์คือหนึ่งในผู้บุกเบิกการปฏิวัติสู่ยุคดิจิทัลด้วยการเปิดตัวแอปพลิเคชันมือถือตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 และพัฒนาระบบสะสมคะแนน Starbucks Rewards 7 กลยุทธ์ “Digital Flywheel” ของแบรนด์มุ่งเน้นที่สี่เสาหลัก ได้แก่ รางวัลสำหรับลูกค้า, การปรับแต่งให้เป็นส่วนตัว, การชำระเงิน และการสั่งซื้อล่วงหน้า 13 แอปพลิเคชันนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งเครื่องดื่มล่วงหน้าเพื่อประหยัดเวลาและชำระเงินแบบไร้เงินสด ซึ่งกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 17

อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่นี้กลับสร้างความย้อนแย้งขึ้นในแบรนด์ 19 เพราะในขณะที่ปรัชญา “สถานที่ที่สาม” เน้นการใช้เวลาในร้านและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้คน 7 แอปพลิเคชันกลับถูกออกแบบมาเพื่อความเร็วและประสิทธิภาพ โดยลูกค้าสามารถ “ข้ามการสนทนาสั้นๆ” และมารับเครื่องดื่มแล้วออกไปได้เลย 7 ความขัดแย้งนี้ทำให้ โฮเวิร์ด ชูลท์ซ อดีตซีอีโอถึงกับกล่าวว่าแอปพลิเคชันกลายเป็น “จุดอ่อน” ของแบรนด์ 7 เพราะมันบ่อนทำลายความรู้สึกของชุมชนและบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่สุดของสตาร์บัคส์ 19

 

ส่วนที่ 4: ทางแยกของยักษ์ใหญ่ระดับโลก

 

แม้จะเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง สตาร์บัคส์ก็ไม่ได้ปราศจากความท้าทายและการวิพากษ์วิจารณ์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีที่แบรนด์ใช้รับมือกับวิกฤตการณ์ต่างๆ และการปรับตัวเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

 

การฝ่ามรสุม: จากข้อพิพาทด้านแรงงานสู่วิกฤตทางสังคม

 

สตาร์บัคส์เผชิญกับข้อกล่าวหาและปัญหาต่างๆ มากมายตลอดเส้นทางธุรกิจ ตั้งแต่การหลีกเลี่ยงภาษีในยุโรป ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน และข้อกล่าวหาเรื่องการขัดขวางการรวมตัวของสหภาพแรงงาน 22 แต่เหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนแบรนด์ที่สุดคือกรณีชายผิวสีสองคนถูกจับกุมที่ร้านในฟิลาเดลเฟียเมื่อปี ค.ศ. 2018 ซึ่งกลายเป็นประเด็นทางสังคมเกี่ยวกับอคติทางเชื้อชาติ 12

การรับมือกับวิกฤตครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง ซีอีโอในขณะนั้นอย่าง เควิน จอห์นสัน ได้ออกมาขอโทษต่อสาธารณะ และสิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการตัดสินใจยอมขาดทุนกว่า 16.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อปิดร้านกว่า 8,000 สาขาในสหรัฐฯ เป็นเวลา 1 วันเพื่อจัดฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับอคติทางเชื้อชาติ 12 การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแค่เป็นการตอบสนองทางพีอาร์ แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงที่จะลงทุนในคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการกระทำที่จับต้องได้และมีราคาค่างวดนั้นคือการตลาดที่ทรงพลังที่สุดในยุคที่ผู้บริโภคมองหาความจริงใจจากแบรนด์

 

หนทางข้างหน้า: การปรับสมดุลระหว่างมรดกและนวัตกรรม

 

ในปัจจุบัน สตาร์บัคส์กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ชะลอตัวในบางตลาดและข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าแบรนด์ “แพงเกินไป” 19 การหันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากเกินไปทำให้สตาร์บัคส์กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียแก่นแท้ของตนเองไป 19 อย่างไรก็ตาม แนวทางแก้ไขของสตาร์บัคส์คือการกลับสู่รากฐานของแบรนด์ด้วยการสร้างสมดุลระหว่าง “ชุมชนสถานที่ที่สาม” และ “ประสิทธิภาพของยุคดิจิทัล” 7 การกลับมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ในร้านและคุณภาพของกาแฟอีกครั้งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่แบรนด์ระดับโลกก็ต้องหวนกลับไปทบทวนคุณค่าดั้งเดิมที่ทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ เพื่อรักษาความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคในระยะยาว

 

ส่วนที่ 5: จิตวิญญาณท้องถิ่น: เรื่องราวของสตาร์บัคส์ในประเทศไทย

 

สตาร์บัคส์ไม่ได้ใช้กลยุทธ์ “One Size Fits All” ทั่วโลก แต่ได้ปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละประเทศ ซึ่งในประเทศไทยก็เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

 

การสร้างไลฟ์สไตล์แบบไทยๆ: พิมพ์เขียวของการปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น

 

สตาร์บัคส์เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 และยึดมั่นในปรัชญา “Coffee, People, Planet” (CCP) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับผู้บริโภคชาวไทย 15 การปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ โดยแบรนด์ได้นำเสนอเมนูที่ถูกปากคนไทย เช่น ขนมหวานที่ทำจากข้าว 26 และมีการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นอย่าง

F&N Retail Connection เพื่อขยายการเติบโตในตลาด 27 ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากการครอบงำวัฒนธรรม แต่เป็นการ “ฝังตัว” เข้าไปในวิถีชีวิตของผู้คน 26

 

แผนงานสู่ปี 2030: อนาคตของร้านกาแฟสไตล์ไทย

 

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ได้วาง “Roadmap 2030” ด้วยเป้าหมายที่ทะเยอทะยานที่จะขยายสาขาเป็น 800 แห่งทั่วประเทศ โดยเน้นรูปแบบร้านที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค 21 กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นที่การขยายร้านในรูปแบบ

Drive-Thru เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ 21 รวมถึงการเพิ่มจำนวน

Greener Stores ซึ่งเป็นร้านกาแฟรักษ์โลก และ Community Store ที่มุ่งเน้นการสนับสนุนชุมชน 21

นอกจากการขยายสาขาแล้ว สตาร์บัคส์ยังคงเดินหน้าสร้างความผูกพันกับชุมชนผ่านโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้ 28 ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ:

  • กาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์และ Community Store: สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวกาแฟ “ม่วนใจ๋ เบลนด์” ในปี ค.ศ. 2003 และเปิดร้าน Community Store แห่งแรกที่หลังสวนในปี ค.ศ. 2013 เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟทางภาคเหนือของไทย ซึ่งได้มอบเงินสนับสนุนไปแล้วกว่า 27 ล้านบาท 29
  • แคมเปญ LITTLE CHOICES. BIG CHANGES.: เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สตาร์บัคส์ได้รณรงค์ให้ลูกค้าใช้แก้วส่วนตัวและมอบส่วนลดให้ ซึ่งช่วยลดการใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งไปแล้วกว่า 29 ล้านใบ 28 นอกจากนี้ยังมีโครงการ “Grounds for Your Garden” ที่ให้ลูกค้านำกากกาแฟไปใช้เป็นปุ๋ยได้ 28

 

บทสรุป: บทเรียนอันยั่งยืนสำหรับผู้ประกอบการ

 

เรื่องราวของสตาร์บัคส์คือพิมพ์เขียวสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน และมอบบทเรียนล้ำค่าสำหรับผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรม

  • วิสัยทัศน์อยู่เหนือกำไร: สตาร์บัคส์พิสูจน์ให้เห็นว่าคุณสามารถขาย “ความรู้สึก” ได้ ไม่ใช่แค่สินค้า วิสัยทัศน์ที่ทรงพลังในการสร้าง “สถานที่ที่สาม” สามารถยกระดับสินค้าโภคภัณฑ์อย่างกาแฟให้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ได้
  • ประสบการณ์คือผลิตภัณฑ์ที่แท้จริง: ความสำเร็จของแบรนด์ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในร้าน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการออกแบบที่ละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ยากจะลอกเลียนแบบ
  • เทคโนโลยีคือเครื่องมือ ไม่ใช่ตัวตายตัวแทน: แม้การปฏิวัติดิจิทัลจะจำเป็นต่อการเติบโต แต่แบรนด์ต้องระมัดระวังไม่ให้เทคโนโลยีมาบั่นทอนปรัชญาหลักของตนเอง ความท้าทายคือการหาจุดสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นมนุษย์
  • ความจริงใจต้องมาพร้อมกับการกระทำ: ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณค่าทางสังคม การตอบสนองต่อวิกฤตต้องได้รับการสนับสนุนจากการกระทำที่จับต้องได้และมีราคาค่างวด การตัดสินใจยอมขาดทุนเพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบสามารถสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้ในระยะยาว
  • คิดแบบสากล แต่ทำแบบท้องถิ่น: ความสำเร็จระดับโลกอย่างแท้จริงนั้นต้องอาศัยการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งและจริงใจ ด้วยการฝังตัวเข้าไปในชุมชน สตาร์บัคส์จึงเปลี่ยนจากแบรนด์ต่างชาติให้กลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่ผู้คนเชื่อใจ
Facebook
Twitter
Email
Print

Category

Latest Articles

Related articles

Set your categories menu in Header builder -> Mobile -> Mobile menu element -> Show/Hide -> Choose menu
Create your first navigation menu here
Shopping cart
Start typing to see posts you are looking for.