Table of Contents
Toggleกรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก lego
กรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก lego – ของเล่นไม้เล็ก ๆ ที่เกือบล้มละลาย กลายเป็นแบรนด์มูลค่าหลายพันล้าน
LEGO: การสร้างตำนาน
จากของเล่นไม้สู่แบรนด์มูลค่าหลายพันล้านที่เกือบจะล้มละลาย
พลังแห่งการสร้างสรรค์
915,103,765
คือจำนวนรูปแบบที่สามารถสร้างได้จากตัวต่อ LEGO ขนาด 2×4 เพียง 6 ชิ้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของ “ระบบการเล่น” ซึ่งเป็นหัวใจของแบรนด์
รากฐานและนวัตกรรม (1932-1958)
1932: ก่อตั้ง
Ole Kirk Christiansen เริ่มต้นธุรกิจของเล่นไม้ในเดนมาร์กด้วยปรัชญา “เล่นให้ดี” (LEG GODT)
1949: ก้าวสู่พลาสติก
ผลิตตัวต่อพลาสติกรุ่นแรก “Automatic Binding Bricks” แต่ยังขาดความเสถียร
1958: การปฏิวัติ!
จดสิทธิบัตร “Stud-and-Tube Coupling System” ที่สร้าง “Clutch Power” อันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ตัวต่อยึดติดกันอย่างสมบูรณ์แบบ
วิกฤตการณ์ (1998-2004)
การขยายธุรกิจที่ไร้ทิศทางและการเข้ามาของโลกดิจิทัล ทำให้ LEGO ขาดทุนอย่างหนักและมีหนี้สินมหาศาลถึง 800 ล้านดอลลาร์
การพลิกฟื้น: 5 กลยุทธ์ “Back to the Brick”
ในปี 2004, CEO คนใหม่ Jørgen Vig Knudstorp ได้นำพอบริษัทกลับคืนสู่แก่นแท้และสร้างการเติบโตครั้งใหม่ด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคม
1. ลดความซับซ้อน
ลดจำนวนชิ้นส่วนจาก 12,900 เหลือ 7,000 รูปแบบ เพื่อลดต้นทุนและกลับมาโฟกัสที่ตัวต่อพื้นฐานที่สร้างสรรค์ได้หลากหลาย
2. นวัตกรรมที่ใช่
ใช้เทคโนโลยีเพื่อ “เสริม” ประสบการณ์ ไม่ใช่ “แทนที่” เช่น LEGO Mindstorms ที่ผสานการต่อบริคเข้ากับการเขียนโค้ดหุ่นยนต์
3. ร่วมมือเชิงกลยุทธ์
จับมือกับแฟรนไชส์ดังอย่าง Star Wars และ Harry Potter เพื่อสร้าง “เรื่องราว” ให้กับตัวต่อและขยายฐานลูกค้า
4. พลังของชุมชน
สร้างความสัมพันธ์กับแฟนคลับผู้ใหญ่ (AFOLs) ผ่านแพลตฟอร์ม LEGO Ideas ที่เปิดให้แฟนๆ ส่งผลงานออกแบบของตัวเองเข้ามาผลิตจริงเมื่อได้ 10,000 โหวต
VOTES
5. ปรับโครงสร้าง
ขายสิทธิ์บริหารสวนสนุก LEGOLAND เพื่อลดภาระทางการเงินและนำทรัพยากรกลับมาทุ่มเทให้กับธุรกิจหลักคือ “ตัวต่อ”
สู่แบรนด์อมตะ: การเติบโตอย่างยั่งยืน
หลังจากการปรับกลยุทธ์ LEGO กลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดและทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2021
ปัจจุบัน LEGO ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตของเล่น แต่เป็นแบรนด์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ความยั่งยืน และความคิดสร้างสรรค์ให้แก่คนทุกเพศทุกวัยทั่วโลก
รายได้ (หน่วย: พันล้านยูโร)
LEGO: จากของเล่นไม้เล็กๆ สู่แบรนด์มูลค่าหลายพันล้านที่เกือบจะล้มละลาย
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับกรณีศึกษาทางธุรกิจของ LEGO แบรนด์ของเล่นระดับโลกที่ได้ชื่อว่าเป็น “มรดกแห่งการเล่นที่สมบูรณ์แบบ” จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย สู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ และการกลับมาผงาดอีกครั้งในฐานะแบรนด์ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนทั่วโลก
การเดินทางของ LEGO คือบทเรียนอันล้ำค่าที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการยึดมั่นในแก่นแท้ การปรับตัวอย่างมีวิสัยทัศน์ และพลังของนวัตกรรมที่แท้จริง
บทนำ: LEGO มรดกแห่งการเล่นที่สมบูรณ์แบบ
เรื่องราวของ LEGO เริ่มต้นขึ้นในเมืองบิลลุนด์ ประเทศเดนมาร์ก ณ ปี 1932 โดยช่างไม้มืออาชีพนามว่า Ole Kirk Christiansen ผู้ซึ่งกำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจากพิษเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 1 ทว่าท่ามกลางความยากลำบาก เขาได้ก่อตั้งธุรกิจผลิตของเล่นไม้ด้วยความเชื่อที่ว่า “ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่แค่ไหน สิ่งที่พ่อแม่ยังคงยอมจ่ายเงินซื้อให้ลูกก็คือของเล่น” 3 ชื่อของบริษัท LEGO มาจากการผสมผสานคำในภาษาเดนมาร์กสองคำคือ “LEG” (เล่น) และ “GODT” (ดี) เข้าด้วยกัน กลายเป็น “LEG GODT” ที่แปลว่า “เล่นได้ดี” 1 ซึ่งนั่นได้กลายเป็นปรัชญาและรากฐานสำคัญของแบรนด์มาจนถึงทุกวันนี้ 4
ในระยะเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมา LEGO ได้เดินทางจากโรงงานไม้เล็กๆ ที่เกือบจะล่มสลาย สู่การเป็นแบรนด์ของเล่นที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ 3 เส้นทางดังกล่าวไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยวิกฤตที่ต้องเผชิญถึงสองครั้งใหญ่ ทั้งเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานในปี 1942 และภาวะขาดทุนมหาศาลจนเกือบล้มละลายในช่วงต้นปี 2000 1 รายงานฉบับนี้มีเป้าหมายที่จะพาไปสำรวจเบื้องหลังของเรื่องราวอันน่าทึ่งนี้ เพื่อหาคำตอบว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ LEGO สามารถเอาชนะอุปสรรคและยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในปัจจุบัน
เพื่อให้เห็นภาพรวมของเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของบริษัทได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ขอสรุปเส้นเวลาวิวัฒนาการของ LEGO ในตารางที่ 1 ดังนี้
ตารางที่ 1: เส้นเวลาวิวัฒนาการของ LEGO (ค.ศ. 1932 – ปัจจุบัน)
ช่วงเวลา | เหตุการณ์สำคัญ | สถานะธุรกิจ | แหล่งข้อมูล |
ค.ศ. 1932 | Ole Kirk Christiansen ก่อตั้งบริษัทที่เมืองบิลลุนด์ ประเทศเดนมาร์ก เริ่มต้นจากของเล่นไม้ | เริ่มต้นธุรกิจจากโรงงานไม้เล็กๆ | 1 |
ค.ศ. 1942 | โรงงานไม้ถูกไฟไหม้จนวอดวาย ตัดสินใจสร้างโรงงานใหม่และเริ่มผลิตของเล่นพลาสติก | เผชิญวิกฤตครั้งแรก แต่ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจต่อ | 1 |
ค.ศ. 1949 | ผลิตตัวต่อพลาสติกรุ่นแรก “Automatic Binding Bricks” จากแรงบันดาลใจของ Kiddicraft | ขยายผลิตภัณฑ์สู่พลาสติก แต่ยังมีข้อจำกัดของตัวต่อ | 2 |
ค.ศ. 1958 | Godtfred Kirk Christiansen คิดค้นและจดสิทธิบัตรระบบ “Stud-and-Tube Coupling System” | ตัวต่อมีประสิทธิภาพและเสถียรยิ่งขึ้น สร้างยุคทองของการเติบโต | 1 |
ค.ศ. 1998 | บริษัทขาดทุนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และขาดทุนต่อเนื่อง | สัญญาณเตือนภัยของวิกฤตการณ์ที่กำลังจะมาถึง | 8 |
ค.ศ. 2003-2004 | ยอดขายลดลงอย่างหนัก มีหนี้สินกว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ | ใกล้ล้มละลาย Kjeld Kirk Kristiansen ลงจากตำแหน่ง | 5 |
ค.ศ. 2004 | Jørgen Vig Knudstorp เข้ารับตำแหน่ง CEO คนใหม่ | เริ่มต้นการพลิกฟื้นธุรกิจด้วยกลยุทธ์ “Back to the Brick” | 5 |
ค.ศ. 2005 | กลับมาทำกำไรได้อีกครั้งหลังจากขาดทุนต่อเนื่อง | เริ่มต้นยุคใหม่แห่งการเติบโตอย่างมั่นคง | 9 |
ค.ศ. 2021 | ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ 7,440 ล้านยูโร | เป็นผู้ผลิตของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลกและยังคงเติบโตต่อเนื่อง | 6 |
ส่วนที่ 1: รากฐานและนวัตกรรม (ค.ศ. 1932 – 1970s) – เมื่อความเชื่อมั่นนำทางธุรกิจ
จุดเริ่มต้น: จากช่างไม้ผู้ฝันถึงการเล่นที่ดี
ในช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังตกต่ำ Ole Kirk Christiansen ช่างไม้ผู้เชี่ยวชาญจากเดนมาร์กได้ตัดสินใจเปลี่ยนจากการผลิตเฟอร์นิเจอร์มาเป็นของเล่น 2 เขาเริ่มต้นด้วยการผลิตของเล่นไม้ที่มีความประณีตสูง ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญา “คุณภาพ” ที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ยกตัวอย่างเช่น ของเล่นเป็ดไม้ที่มีล้อลากนั้นถูกทาเคลือบสีถึงสามชั้นเพื่อเพิ่มความทนทาน 6 การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดนี้เองที่ทำให้ของเล่นของ LEGO เริ่มได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ กำลังประสบปัญหา 1
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของเขาก็ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งแรกเมื่อโรงงานไม้ถูกไฟไหม้ทำลายจนหมดสิ้นในปี 1942 1 แต่แทนที่จะยอมแพ้ Ole Kirk Christiansen กลับเลือกที่จะสร้างโรงงานขึ้นใหม่ และใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้วัสดุพลาสติกอย่างเต็มตัว ซึ่งเขาเล็งเห็นถึงข้อดีในระยะยาว ทั้งในแง่ของความทนทาน, ความปลอดภัย, น้ำหนักที่เบาลง และความสามารถในการผลิตที่หลากหลายกว่าในเชิงอุตสาหกรรม 13 การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวนี้ทำให้ LEGO ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่พร้อมจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด
การปฏิวัติ: The Stud-and-Tube Coupling System
หลังจากที่เปลี่ยนมาผลิตของเล่นพลาสติก LEGO ได้สร้างตัวต่อชิ้นแรกในปี 1949 ในชื่อ “Automatic Binding Bricks” 2 ซึ่งได้รับการยอมรับในภายหลังว่ามีที่มาจากตัวต่อ “Self-Locking Building Bricks” ของบริษัท Kiddicraft ในอังกฤษที่จดสิทธิบัตรไว้ก่อนหน้า 2 แต่ตัวต่อรุ่นแรกนี้ยังมีปัญหาสำคัญคือ ด้านล่างของชิ้นส่วนกลวง ทำให้เมื่อนำมาต่อซ้อนกันแล้วหลุดออกจากกันได้ง่าย ส่งผลต่อความเสถียรและประสบการณ์การเล่น 3
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของ LEGO เกิดขึ้นในปี 1958 เมื่อ Godtfred Kirk Christiansen บุตรชายของ Ole ได้คิดค้นระบบยึดติดแบบใหม่ที่เรียกว่า “Stud-and-Tube Coupling System” 1 ระบบนี้ใช้หลักการที่เรียบง่ายแต่ชาญฉลาด โดยนำท่อกลวงเล็กๆ มาใส่ไว้ใต้ตัวต่อ ทำให้ปุ่ม (Studs) ของตัวต่ออีกชิ้นหนึ่งสามารถสวมลงไปในท่อได้อย่างพอดีและยึดติดกันด้วยแรงเสียดทานที่แม่นยำ 7 นวัตกรรมนี้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “Clutch Power” ซึ่งทำให้ตัวต่อยึดติดกันอย่างแน่นหนาแต่ก็ยังสามารถถอดออกได้ง่าย และที่สำคัญที่สุดคือเป็นการปลดล็อกจินตนาการของผู้เล่นให้เป็นอิสระ 7 ยกตัวอย่างเช่น ตัวต่อขนาด 2×4 เพียง 6 ชิ้น สามารถนำมาต่อกันได้มากถึง 915,103,765 รูปแบบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของการเล่น 15
นวัตกรรม “Stud-and-Tube” ไม่ได้เกิดขึ้นจากความว่างเปล่า แต่เป็นการแก้ไขข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ที่เคยได้รับแรงบันดาลใจจากผู้อื่นมาก่อน เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากความผิดพลาดและต่อยอดเพื่อสร้างคุณค่าที่เหนือกว่า การก้าวกระโดดที่แท้จริงของ LEGO ไม่ได้อยู่ที่การเป็นผู้ผลิตของเล่นพลาสติกรายแรก แต่คือการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่เปลี่ยนของเล่นธรรมดาให้กลายเป็น “ระบบการเล่น” (System of Play) ที่สมบูรณ์แบบ 3 ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ และเป็นรากฐานที่มั่นคงที่ส่งให้ LEGO เติบโตอย่างก้าวกระโดดมานานหลายทศวรรษ
ส่วนที่ 2: ยุคทองและความมืดมนที่แฝงเร้น (ค.ศ. 1980s – ต้นปี 2000s)
การเติบโตที่ไร้ขีดจำกัดและสัญญาณอันตราย
ในช่วงยุคทองที่ยาวนานหลายสิบปี LEGO กลายเป็นสัญลักษณ์ของความคิดสร้างสรรค์และความสุขในครอบครัว ยอดขายเพิ่มขึ้นปีแล้วปีเล่า และชื่อของแบรนด์ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก 3 แต่ความสำเร็จอันมหาศาลนี้กลับนำมาซึ่งความมั่นใจที่มากเกินไป บริษัทเริ่มเบี่ยงเบนจากแก่นแท้ของตนเองด้วยการขยายธุรกิจอย่างบ้าคลั่ง เข้าไปสู่กิจการที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นสวนสนุก LEGOLAND, วิดีโอเกม, รายการทีวี, และธุรกิจให้คำปรึกษา 9 ในขณะเดียวกัน การออกแบบผลิตภัณฑ์ก็เริ่มผิดเพี้ยนไปจากปรัชญาเดิม บริษัทเริ่มสร้างตัวต่อที่มีรูปแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเรื่อยๆ 16 เพื่อสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อนขึ้น แต่กลับทำให้ผู้เล่นขาดอิสระในการสร้างสรรค์ และที่สำคัญคือกระบวนการผลิตต้องใช้แม่พิมพ์ที่ราคาแพงและสามารถใช้ได้กับผลิตภัณฑ์เพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น 8 ซึ่งทำให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่จำเป็น
วิกฤตการณ์: เมื่อโลกดิจิทัลเข้ามาท้าทาย
ในขณะที่ LEGO กำลังหลงทางจากแก่นของตัวเอง โลกภายนอกก็กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 3 การเข้ามาของอินเทอร์เน็ตและเกมคอนโซลอย่าง PlayStation และ Nintendo ทำให้พฤติกรรมความสนใจของเด็กๆ เปลี่ยนไปจากของเล่นจับต้องได้ไปสู่โลกดิจิทัล 3 แทนที่จะใช้แก่นแท้ของตัวเองในการรับมือกับกระแสที่เปลี่ยนไป LEGO กลับเลือกที่จะ “วิ่งตาม” เทรนด์อย่างผิดทิศทาง ด้วยการพยายามสร้างเกมและรายการทีวีของตัวเอง 3 ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีความเชี่ยวชาญ 18
ความล้มเหลวเชิงกลยุทธ์นี้สะท้อนออกมาในผลิตภัณฑ์ที่น่าจดจำหลายชิ้น เช่น ชุดตัวต่อ Galidor ที่ไม่สามารถต่อกับตัวต่อ LEGO ปกติได้เลย และมีรูปร่างคล้ายแอคชันฟิกเกอร์มากกว่า 18 หรือ ZNAP ซึ่งเป็นการพยายามเลียนแบบรูปแบบของคู่แข่งอย่าง K’nex แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ขาดความยืดหยุ่นและไม่เป็นที่นิยม 19 ความผิดพลาดเหล่านี้ทำให้ LEGO ขาดทุนอย่างหนักเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์บริษัทตั้งแต่ปี 1998 8 และต่อเนื่องจนถึงปี 2004 ด้วยหนี้สินมหาศาลกว่า 800 ล้านดอลลาร์ 5 ทำให้ Kjeld Kirk Kristiansen ผู้บริหารรุ่นที่ 3 ต้องตัดสินใจวางมือและส่งมอบตำแหน่งให้กับผู้นำจากภายนอกตระกูลเป็นครั้งแรก 5
วิกฤตการณ์ของ LEGO ในยุคนี้ไม่ได้เกิดจากการที่ตัวต่อ “ล้าสมัย” ดังที่บางส่วนวิเคราะห์ 10 แต่เกิดจากการที่บริษัท “ลืมแก่นแท้” ของตัวเองและพยายามเป็นทุกอย่างให้กับทุกคนจนสูญเสียอัตลักษณ์ของแบรนด์ 9 การขยายตัวอย่างไม่มีทิศทางเข้าสู่ธุรกิจที่ไม่เชี่ยวชาญทำให้บริษัทต้องแบกรับต้นทุนคงที่มหาศาลที่ก่อให้เกิดความเสียหาย 3 นี่คือตัวอย่างคลาสสิกของธุรกิจที่เกือบจะล้มละลายเพราะ “ท้องไม่ย่อย” (บริหารจัดการธุรกิจที่หลากหลายเกินไป) ไม่ใช่เพราะ “ท้องกิ่ว” (ขาดรายได้) 22 บทเรียนที่สำคัญในบทนี้คือ การปรับตัวในยุคดิจิทัลต้องตั้งอยู่บนรากฐานที่แข็งแกร่งของแบรนด์ ไม่ใช่การวิ่งตามกระแสอย่างไม่มีทิศทาง
ส่วนที่ 3: การพลิกฟื้น: กลับคืนสู่รากเหง้าเพื่อสร้างอนาคต
ผู้นำคนใหม่และปรัชญาการกลับสู่แก่นแท้
ในปี 2004 Jørgen Vig Knudstorp อดีตที่ปรึกษาจาก McKinsey ได้ก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอคนแรกที่ไม่ได้มาจากตระกูล Christiansen เพื่อรับภารกิจกอบกู้บริษัทที่กำลังจะล้มละลาย 5 เขาไม่ได้เริ่มต้นด้วยนวัตกรรมที่หวือหวา แต่กลับเลือกใช้แนวทางที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งที่เรียกว่า “Back to the Brick” หรือการ “กลับคืนสู่ตัวต่อ” 9 เขาได้นำกระบวนการ “Rediscovery” มาใช้เพื่อทบทวนว่าอะไรคือ “มรดกที่ยังเป็นอนาคตอยู่” (that it is our heritage and it is our future) 22 และใช้แก่นแท้ของแบรนด์ที่ว่า “LEGO คืออะไร” เป็นเข็มทิศในการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจทั้งหมด 23
การวิเคราะห์เชิงลึก 5 กลยุทธ์การกอบกู้ของ Knudstorp
Knudstorp ได้นำพา LEGO พลิกฟื้นกลับมาทำกำไรได้ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีด้วยกลยุทธ์ที่สำคัญดังต่อไปนี้ 9:
- ลดความซับซ้อนและหันกลับมาโฟกัสที่แก่นผลิตภัณฑ์Knudstorp ตัดสินใจลดจำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิตลงอย่างมหาศาล จากเดิมที่มีมากถึง 12,900 รูปแบบ ให้เหลือเพียง 7,000 รูปแบบ 8 เพื่อควบคุมต้นทุนและลดความซับซ้อนในกระบวนการผลิตและโลจิสติกส์ การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่บริษัทได้สร้างขึ้นเองในช่วงก่อนหน้า ที่มีการผลิตชิ้นส่วนเฉพาะทางจำนวนมากซึ่งใช้ซ้ำได้น้อย 16 การกลับไปให้ความสำคัญกับตัวต่อพื้นฐานที่สามารถนำมาประกอบกันได้อย่างอิสระและไร้ขีดจำกัด ถือเป็นการคืนจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์กลับมาสู่แบรนด์อย่างแท้จริง 9
- สร้างนวัตกรรมที่ไม่ทิ้งความเป็นตัวเองแทนที่จะลงทุนในเทคโนโลยีอย่างวิดีโอเกมที่ตัวเองไม่เชี่ยวชาญ LEGO เลือกที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อ “เสริม” ประสบการณ์การเล่น ไม่ใช่ “แทนที่” ตัวต่อ 21 ตัวอย่างที่โดดเด่นคือชุดตัวต่อ “LEGO Mindstorms” ที่ผสมผสานตัวต่อเข้ากับแผงวงจรไฟฟ้าและซอฟต์แวร์ ทำให้เด็กๆ สามารถสร้างหุ่นยนต์และเขียนโค้ดเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวได้จริง 6 กลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมที่แท้จริงคือการต่อยอดจากสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้เล่นในแบบที่ไม่เหมือนใคร
- สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับแฟรนไชส์ดังKnudstorp ได้นำกลยุทธ์ที่เคยประสบความล้มเหลวมาปรับใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์ โดยการเข้าซื้อลิขสิทธิ์ตัวละครและเรื่องราวจากภาพยนตร์และแฟรนไชส์ดังระดับโลก เช่น Star Wars, Harry Potter, และ Marvel 11 กลยุทธ์นี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การขายของเล่น แต่เป็นการสร้าง “เรื่องราว” ให้กับตัวต่อ ทำให้ผู้เล่นสามารถต่อยอดจินตนาการจากสิ่งที่พวกเขารักและคุ้นเคย 4 นอกจากนี้ยังช่วยขยายฐานลูกค้าอย่างมหาศาลและสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง 17
- สร้างความสัมพันธ์กับแฟนคลับและกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่LEGO ตระหนักว่าลูกค้าของพวกเขาไม่ได้มีแค่เด็กๆ แต่ยังรวมถึงกลุ่ม “Adult Fan of LEGOs” (AFOLs) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีความผูกพันกับแบรนด์อย่างลึกซึ้ง 11 บริษัทจึงสร้างแพลตฟอร์ม “LEGO Ideas” เพื่อเปิดโอกาสให้แฟนๆ สามารถส่งผลงานออกแบบของตัวเองเข้ามาได้ หากได้รับคะแนนโหวตครบ 10,000 คะแนนจากชุมชน LEGO จะพิจารณานำไปผลิตจริง 22 กลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ยังเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่งและสร้างความผูกพันที่แนบแน่นกับลูกค้า 23 นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำสินค้าและหน้าเว็บไซต์ “Adults Welcome” เพื่อเจาะกลุ่มผู้ใหญ่โดยเฉพาะ 25
- ปรับโครงสร้างองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพKnudstorp ได้ทำการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ด้วยการขายสิทธิ์การบริหารสวนสนุก LEGOLAND ให้กับบริษัท Merlin Entertainments 5 การตัดสินใจนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ LEGO สามารถลดภาระทางการเงินจากธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและไม่ได้เป็นธุรกิจหลักของตนเอง 23 แต่ก็ยังคงรักษาความเป็นเจ้าของด้วยการแลกเปลี่ยนเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท Merlin Entertainment 5 ทำให้สามารถนำทรัพยากรที่ปลดล็อกได้ไปทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ตัวต่อซึ่งเป็นแก่นหลักของบริษัทได้อย่างเต็มที่
ตารางที่ 2: เปรียบเทียบกลยุทธ์: วิกฤต vs. การพลิกฟื้น
ประเด็นกลยุทธ์ | ยุคก่อนวิกฤต (ความล้มเหลว) | ยุคหลังวิกฤต (การพลิกฟื้น) |
การขยายธุรกิจ | กระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจที่ไม่เชี่ยวชาญอย่างกว้างขวาง (สวนสนุก, เกม) 9 | กลับมาโฟกัสที่ผลิตภัณฑ์ตัวต่อที่เป็นแก่นหลัก 9 |
นวัตกรรม | พยายามวิ่งตามเทคโนโลยีด้วยการสร้างเกมหรือผลิตภัณฑ์ไฮเทคของตัวเอง 17 | นำเทคโนโลยีมา “เสริม” ประสบการณ์การเล่น 21 |
การจัดการผลิตภัณฑ์ | ผลิตชิ้นส่วนที่มีรูปแบบเฉพาะเจาะจงจำนวนมาก ทำให้ต้นทุนสูง 16 | ลดความซับซ้อนของชิ้นส่วน และกลับมาใช้ตัวต่อพื้นฐานที่หลากหลาย 8 |
การตลาด | พยายามทำตามเทรนด์ด้วยการผลิตสินค้าที่ผิดเพี้ยนจากตัวตน 3 | สร้างความร่วมมือกับแบรนด์ดัง (IP) และสร้างความผูกพันกับชุมชนผู้เล่น 11 |
การบริหารองค์กร | บริหารจัดการธุรกิจ LEGOLAND ด้วยตัวเอง ซึ่งใช้เงินลงทุนสูง 9 | ขายธุรกิจ LEGOLAND ให้ Merlin Entertainments เพื่อลดภาระ 23 |
ส่วนที่ 4: สู่แบรนด์อมตะ: บทเรียนและแรงบันดาลใจ
บทเรียนจากกรณีศึกษา LEGO
เรื่องราวการฟื้นคืนชีพของ LEGO เป็นบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของโลก บทสรุปที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนไม่ได้มาจาก “การวิ่งตามทุกกระแส” แต่มาจากการยึดมั่นใน “แก่นแท้ของแบรนด์” ของตนเอง 6 LEGO รอดพ้นวิกฤตเพราะเลือกที่จะกลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด 21 การปรับตัวอย่างแท้จริงคือการใช้เทคโนโลยีและเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อ “ต่อยอด” และ “ยกระดับ” คุณค่าเดิมที่ตัวเองมี ไม่ใช่การพยายามเป็น “คนอื่น” ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ 21 นอกจากนี้ พลังของชุมชนและความผูกพันที่บริษัทสร้างขึ้นกับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มอย่าง LEGO Ideas 23 และการยอมรับกลุ่มผู้ใหญ่ 25 ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังเป็นการสร้างกองทัพแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับบริษัท 11
LEGO ในฐานะแบรนด์แห่งความยั่งยืนในปัจจุบัน
ในยุคปัจจุบัน LEGO ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยยอดขายที่ทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 6 แต่ความสำเร็จของพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเลขทางธุรกิจ LEGO ยังคงมองไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าแค่ของเล่น 4 พวกเขาให้ความสำคัญกับการลงทุนในด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง เช่น การวิจัยและพัฒนาวัสดุจากขวดพลาสติกรีไซเคิลเพื่อทดแทนพลาสติกในปัจจุบัน และการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิต 22
นอกจากนี้ LEGO ยังนำหลักการของตัวต่อมาใช้ในบริบทที่กว้างขึ้น เช่น การนำวิธีการ Lego® Serious Play® ไปใช้ในธุรกิจแบบ B2B เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถระดมสมองและแก้ไขปัญหาเชิงกลยุทธ์ที่ซับซ้อนได้อย่างสร้างสรรค์ 30 รวมถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงค่านิยมของโลกยุคใหม่ เช่น การให้ความสำคัญกับความหลากหลายและความเท่าเทียม (Inclusivity) 13 โดยมีการออกแบบตัวต่อที่เป็นผู้พิการนั่งวีลแชร์ 13 และการส่งเสริมความหลากหลายในองค์กร 31
สรุปได้ว่า LEGO ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทขายของเล่นตัวต่ออีกต่อไป แต่ได้แปลงร่างเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และฝึกทักษะ เป็นพื้นที่ให้จินตนาการได้โลดแล่น และเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว 4 เรื่องราวของ LEGO จึงเป็นบทพิสูจน์ที่ว่า แบรนด์ที่แท้จริงจะไม่มีวันตายตราบใดที่ยังคงยึดมั่นในปรัชญาและคุณค่าที่เป็นแก่นแท้ของตนเอง เพื่อส่งมอบสิ่งดีๆ ให้แก่ผู้คนในแบบที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้