กรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก KFC

กรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก kfc

Table of Contents

กรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก KFC

กรณีศึกษาธุรกิจระดับโลก KFC – เรื่องราวคุณปู่แซนเดอร์สที่ล้มเหลวหลายครั้งก่อนประสบความสำเร็จ


 

ชายในชุดสูทขาว

ถอดบทเรียนความล้มเหลวสู่ตำนานไก่ทอดระดับโลกของผู้พันแซนเดอร์ส

 

Episode 1: ชีวิตที่เต็มไปด้วยความล้มเหลว

เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ก่อนจะมาเป็นผู้พันใจดีที่เรารู้จัก ชีวิตของฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส เต็มไปด้วยการเปลี่ยนงานและความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน ความดื้อรั้นและใจร้อนของเขาเป็นทั้งคำสาปและพรสวรรค์ที่ผลักดันให้เขาสร้างตำนานในท้ายที่สุด

👨‍🌾อายุ 10s: ชาวไร่, พนักงานรถไฟ, ทหาร (ปลอมอายุ)

‍⚖️อายุ 20s-30s: นักกฎหมาย, พนักงานขายประกัน, เจ้าของธุรกิจเรือข้ามฟากและผลิตตะเกียง ทั้งหมดล้วนล้มเหลว

อายุ 40: เริ่มต้นใหม่กับปั๊มน้ำมัน และเริ่มขายไก่ทอดจากโต๊ะอาหารในบ้าน

ความสำเร็จเริ่มต้นเมื่อ…

65

ปี

ในวัยที่คนส่วนใหญ่เกษียณ แซนเดอร์สเพิ่งเริ่มต้นการเดินทางสร้างอาณาจักรแฟรนไชส์ KFC อย่างจริงจัง

Episode 2: นวัตกรรมเปลี่ยนโลก

ปฏิวัติการทอดไก่

แซนเดอร์สไม่ยอมลดทอนคุณภาพเพื่อความเร็ว เขาได้ดัดแปลง “หม้ออัดแรงดัน” ที่เดิมใช้สำหรับนึ่งผัก ให้กลายเป็นเครื่องทอดไก่แรงดันสูง ผลลัพธ์คือไก่ที่สุกเร็ว กรอบนอก และฉ่ำในอย่างสมบูรณ์แบบ

สูตรลับ 11 ชนิด

ในปี 1940 เขาได้สรุปสูตร “Original Recipe” ที่กลายเป็นความลับทางการค้าอันโด่งดังที่สุดในโลก การตลาดที่ยอดเยี่ยมนี้สร้างความพิเศษและความน่าค้นหาให้กับแบรนด์มาจนถึงทุกวันนี้

🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿🌿

Episode 3: เดิมพันครั้งสุดท้ายในวัย 65

วิกฤตสร้างโอกาส: กำเนิดโมเดลแฟรนไชส์

เมื่อทางหลวงสายใหม่ถูกสร้างขึ้นและตัดขาดลูกค้าจากร้านอาหารของเขา แซนเดอร์สในวัย 65 ไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจขายร้านและออกเดินทางทั่วประเทศเพื่อขายสิทธิ์แฟรนไชส์สูตรไก่ทอดของเขาแทน นี่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติธุรกิจ

1,009 ครั้งแห่งการปฏิเสธ

เรื่องราวในตำนานเล่าว่า เขาถูกปฏิเสธถึง 1,009 ครั้ง ก่อนที่จะมีคนแรกตอบตกลง นี่คือบทพิสูจน์ของความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์อย่างไม่สั่นคลอน

การเติบโตแบบก้าวกระโดด

หลังจากได้แฟรนไชส์แรกในปี 1952 อาณาจักร KFC ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นเชนร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาภายในเวลาเพียงทศวรรษ

Episode 4: มรดกที่ส่งต่อไปทั่วโลก

KFC ในประเทศไทย: วิวัฒนาการของแฟรนไชส์

KFC เข้ามาในไทยปี 1984 และปรับโมเดลธุรกิจให้เข้ากับบริบทท้องถิ่นอย่างชาญฉลาด โดยใช้ระบบแฟรนไชส์หลายราย (Multi-Franchisee) เพื่อเร่งการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงรักษามาตรฐานแบรนด์ไว้ภายใต้การบริหารของ Yum! Brands

Yum! Brands (Thailand)

ผู้บริหารแบรนด์และการตลาด

CRG
RD
QSA

ผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์หลัก 3 ราย

 

“คุณต้องชอบงานของคุณ คุณต้องชอบสิ่งที่คุณทำ”

– พันเอก ฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส –

 

ชายในชุดสูทขาว: ถอดบทเรียนความล้มเหลวสู่ตำนานไก่ทอดระดับโลกของผู้พันแซนเดอร์ส

 

 

Episode 1: ชายผู้อยู่เบื้องหลังเคราขาว…ชีวิตที่เต็มไปด้วยความล้มเหลว

 

 

1.1 ภาพลักษณ์ที่ทุกคนรู้จัก กับความจริงที่ซ่อนอยู่

 

เมื่อพูดถึงไก่ทอด KFC ภาพในจินตนาการของเราแทบทุกคนคือภาพของชายชราผู้ใจดีในชุดสูทสีขาว มีหนวดเคราสีขาว และรอยยิ้มที่อบอุ่น เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความสำเร็จระดับโลกและความน่าเชื่อถือที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ถ้าเราบอกคุณว่า ชายผู้นี้ไม่ใช่แค่นักธุรกิจ แต่เป็นชายผู้ที่ชีวิตเต็มไปด้วยความล้มเหลว ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดก่อนจะพบกับความสำเร็จในวัยที่คนส่วนใหญ่เกษียณไปแล้ว คุณจะเชื่อหรือไม่? 1 นี่คือเรื่องราวของ พันเอก ฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส ผู้ที่ความล้มเหลวในอดีตได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นบุคคลในตำนานที่โลกไม่มีวันลืม

เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่สุภาพและใจดีที่เราเห็นในวันนี้ แซนเดอร์สเป็นชายผู้มีนิสัยใจร้อนและไม่ยอมคนอย่างยิ่ง 3 เขาเป็นชายที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพด้วยงานหลากหลายรูปแบบที่มักจะจบลงด้วยความขัดแย้งและถูกไล่ออกอยู่เสมอ สิ่งที่น่าสนใจคือความขัดแย้งที่ว่านี้กลับสร้างเสน่ห์ให้กับเรื่องราวของเขาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะลักษณะนิสัยที่ทำให้เขาต้องล้มเหลวในอดีต—เช่น ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าและความดื้อรั้นที่ไม่ยอมแพ้—กลับกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาสร้างอาณาจักร KFC ขึ้นมาในภายหลัง เป็นการยืนยันว่าคุณลักษณะเดียวกันในคนคนหนึ่งสามารถเป็นได้ทั้งอุปสรรคและเครื่องมือสู่ความสำเร็จในเวลาเดียวกัน

 

1.2 ไทม์ไลน์ชีวิตที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด

 

ชีวิตของ ฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ส เริ่มต้นขึ้นในปี 1890 ที่เมืองเฮนรีวิลล์ รัฐอินเดียน่า 1 เมื่ออายุเพียง 5 ขวบ พ่อของเขาเสียชีวิต ทำให้แซนเดอร์ส ซึ่งเป็นลูกชายคนโต ต้องรับผิดชอบดูแลน้องๆ และเริ่มทำอาหารตั้งแต่อายุ 6 ขวบ 6 สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้จักการทำอาหาร แต่ในเส้นทางชีวิตหาเลี้ยงชีพของเขานั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แซนเดอร์สลาออกจากโรงเรียนตอนเกรด 7 และออกจากบ้านไปทำงานรับจ้างในฟาร์ม 1 เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาโกงอายุเพื่อสมัครเข้ากองทัพสหรัฐฯ และถูกปลดประจำการอย่างสมเกียรติหนึ่งปีให้หลัง 1

หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความล้มเหลว เขาทำงานเป็นกรรมกรในเส้นทางรถไฟ แต่ถูกไล่ออกเพราะทะเลาะวิวาทกับเพื่อนร่วมงาน 1 ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เขาลองเรียนกฎหมายด้วยการเรียนทางไปรษณีย์ แต่ชีวิตนักกฎหมายของเขาก็จบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเขาไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับลูกความของตัวเองในห้องพิจารณาคดี 1 หลังจากนั้นเขาลองไปขายประกันชีวิต แต่ก็ถูกไล่ออกอีกครั้งด้วยเหตุผลที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง 1 ความไม่นิ่งนอนของเขาพาเขาไปสู่การตั้งธุรกิจของตัวเองในวัย 30 ปี 6 เขาเปิดบริษัทเดินเรือข้ามฟากในแม่น้ำโอไฮโอ ซึ่งประสบความสำเร็จในตอนแรก แต่ก็ต้องปิดตัวลงเมื่อมีการสร้างสะพานขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ธุรกิจของเขาหมดความจำเป็นไปโดยปริยาย 3 ธุรกิจต่อมาคือบริษัทผลิตตะเกียงที่ใช้แก๊สอะเซทิลีน ซึ่งก็ล้มเหลวเช่นกันเมื่อไฟฟ้าเริ่มเข้าถึงพื้นที่ชนบทของอเมริกา 3

จำนวนและความหลากหลายของงานที่แซนเดอร์สทำก่อนที่จะประสบความสำเร็จไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความจริงทางเศรษฐกิจที่เขาต้องเผชิญ ชีวิตของเขาตั้งแต่อายุ 16 ถึง 40 ปี คือการค้นหาเส้นทางอาชีพที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง 6 เขาพยายามลองผิดลองถูกในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่งานใช้แรงงาน การขาย ไปจนถึงการเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความมุ่งมั่นที่ไม่เคยลดลงในทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้เขาก้าวไปข้างหน้าได้เสมอ

ช่วงอายุ (Age) อาชีพ/ธุรกิจ (Job/Venture) เหตุผลที่ล้มเหลว (Reason for Failure)
16 ทหาร (ปลอมอายุ) ถูกปลดประจำการอย่างสมเกียรติ 1
17-20s พนักงานดับเพลิง, พนักงานขับเรือกลไฟ, พนักงานรถไฟ ถูกไล่ออกเนื่องจากนิสัยที่ใจร้อนและไม่ยอมคน 6
20s-30s นักกฎหมาย อาชีพจบลงหลังจากการทะเลาะวิวาทกับลูกความ 4
30s พนักงานขายประกัน ถูกไล่ออกด้วยเหตุผลที่ไม่ทำตามคำสั่ง 1
30s เจ้าของบริษัทเรือข้ามฟาก ธุรกิจหมดความจำเป็นเมื่อมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ 6
30s เจ้าของบริษัทผลิตตะเกียง ธุรกิจล้มเหลวเมื่อไฟฟ้าเข้าถึงพื้นที่ชนบท 6
40s เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ธุรกิจต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ (Great Depression) 5

 

1.3 เรื่องราวสุดระทึกและแสงสว่างแรกแห่งความหวัง

 

จุดเปลี่ยนในชีวิตของเขามาถึงเมื่ออายุ 40 ปี 1 เมื่อเขาได้รับข้อเสนอให้เปิดสถานีบริการน้ำมันเชลล์ในเมืองนอร์ท คอร์บิน รัฐเคนทักกี้ โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แต่จะหักเปอร์เซ็นต์จากยอดขายแทน 3 และที่นี่เองที่เขาได้เริ่มขายอาหารจานหลักที่เขาได้เรียนรู้การทำตั้งแต่เด็กๆ เช่น ไก่ทอด, แฮม, และสเต๊ก 7 ในตอนแรกเขายังไม่มีร้านอาหารอย่างเป็นทางการ จึงใช้โต๊ะอาหารของตัวเองในที่พักส่วนตัวที่อยู่ติดกับสถานีบริการน้ำมันเป็นพื้นที่รับรองลูกค้า โดยมีที่นั่งเพียง 6 ที่เท่านั้น 7

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจยังเต็มไปด้วยความดุดัน แซนเดอร์สได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องราวสุดระทึก 4 เมื่อคู่แข่งในท้องถิ่นที่ชื่อ แมตต์ สจ๊วร์ต ได้ไปพ่นสีทับป้ายโฆษณาที่เขาตั้งไว้ แซนเดอร์สจึงขับรถไปเผชิญหน้ากับเขาที่หน้าปั๊มน้ำมัน และเหตุการณ์ได้บานปลายกลายเป็นการยิงต่อสู้กัน ซึ่งจบลงด้วยการที่ สจ๊วร์ตถูกตัดสินจำคุก 18 ปี ในข้อหาฆาตกรรมหลังจากที่ได้ยิงพนักงานของเชลล์ที่มากับแซนเดอร์สเสียชีวิต 4 เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความไม่ยอมคนของแซนเดอร์ส ซึ่งแม้จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง แต่ก็ทำให้เขากำจัดคู่แข่งไปโดยปริยาย

เมื่อชื่อเสียงด้านอาหารของเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผู้ว่าการรัฐเคนทักกี้ได้มอบตำแหน่ง “พันเอกแห่งรัฐเคนทักกี้” ให้แก่เขาในปี 1935 4 ซึ่งเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติที่เขาจะใช้ตลอดชีวิตและกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ในอนาคต 11 การที่เขากลายเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารนั้นไม่ได้เป็นผลมาจากแผนการทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป 9 แซนเดอร์สเริ่มต้นจากการขายอาหารจากบ้านของตัวเองด้วยเงินลงทุนที่ต่ำที่สุด 7 แนวทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดการสร้างธุรกิจแบบ “มินิมัม ไวเอเบิล โปรดักต์” หรือ MVP (Minimum Viable Product) ซึ่งเป็นการทดลองตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด ก่อนที่เขาจะขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นในภายหลัง

 

Episode 2: ความลับและซอส – นวัตกรรมที่เป็นตัวเร่ง

 

 

2.1 ปัญหาของความสมบูรณ์แบบ: คุณภาพปะทะความเร็ว

 

เมื่อธุรกิจร้านอาหารของเขาเติบโตขึ้น แซนเดอร์สต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่สำคัญ 7 เขาเชื่อว่าไก่ทอดที่ดีที่สุดต้องทอดด้วยกระทะเหล็ก แต่การทอดแบบนี้ใช้เวลาถึง 35 นาทีต่อการสั่งหนึ่งครั้ง 7 ซึ่งทำให้ลูกค้ารอนานและยังเสี่ยงต่อการที่อาหารที่เตรียมไว้ล่วงหน้าจะเหลือทิ้งในตอนท้ายวัน 7 ในทางกลับกัน การทอดแบบหม้อทอดน้ำมันท่วม (deep-frying) แม้จะรวดเร็วกว่า แต่เขาก็ไม่พอใจกับรสชาติที่ได้ เพราะไก่จะแห้งและสุกไม่สม่ำเสมอ 7 ความมุ่งมั่นในคุณภาพที่ไม่มีวันประนีประนอมทำให้เขาไม่ยอมแพ้และต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้ให้ได้

 

2.2 นวัตกรรมโดยบังเอิญ: หม้ออัดแรงดันที่เปลี่ยนโลก

 

จุดพลิกผันมาถึงในปี 1939 เมื่อมีการเปิดตัวหม้ออัดแรงดันเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในตลาด โดยถูกออกแบบมาเพื่อใช้นึ่งผักเป็นหลัก 7 แซนเดอร์สซื้อหม้อนี้มาและใช้ความคิดสร้างสรรค์ดัดแปลงมันให้เป็นเครื่องทอดไก่แบบอัดแรงดัน (pressure fryer) 7 นวัตกรรมนี้ได้ปฏิวัติการทำไก่ทอดของเขาอย่างสิ้นเชิง เพราะมันช่วยลดเวลาในการทำอาหารจาก 35 นาทีให้เหลือเพียง 5-6 นาทีเท่านั้น 13 ในขณะที่ยังคงรักษารสชาติที่ฉ่ำและผิวที่กรอบเอาไว้ได้เหมือนกับการทอดในกระทะเหล็ก 7 การดัดแปลงอุปกรณ์นี้ไม่ได้เป็นแค่การแก้ไขปัญหาทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่างวิสัยทัศน์ด้านคุณภาพอาหารของเขากับความต้องการของธุรกิจอาหารจานด่วนที่ต้องใช้ความรวดเร็ว 14 การกระทำนี้แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องเป็นการประดิษฐ์สิ่งใหม่ทั้งหมด แต่อาจมาจากการนำเครื่องมือที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ไม่มีใครเคยนึกถึงมาก่อนก็เป็นได้ 13 ซึ่งสิ่งนี้ได้กลายเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันที่แท้จริงของ KFC และเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จของแบรนด์ในเวลาต่อมา

 

2.3 ความลับที่ไม่ได้เป็นแค่สูตรอาหาร

 

ในเดือนกรกฎาคม ปี 1940 แซนเดอร์สได้ปรับปรุงและสรุปสูตรไก่ทอด “Original Recipe” ที่ประกอบด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศ 11 ชนิด ซึ่งกลายเป็นความลับทางการค้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในอุตสาหกรรมอาหาร 7 เพื่อรักษาความลับนี้อย่างเคร่งครัด ทางบริษัทถึงกับต้องแยกกระบวนการผลิตผงปรุงรสออกเป็นสองส่วน และส่งให้บริษัทสองแห่งที่แตกต่างกันเพื่อผสมในแต่ละส่วน โดยไม่มีบริษัทใดรู้สูตรทั้งหมด 12

เดฟ โธมัส หนึ่งในผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ยุคแรกของแซนเดอร์สและผู้ก่อตั้งแบรนด์ Wendy’s เคยกล่าวว่า แนวคิดเรื่อง “สูตรลับ” ประสบความสำเร็จอย่างมากเพราะ “ทุกคนอยากรู้ความลับ” 12 การที่สูตรไก่ทอดของ KFC เป็นความลับทางการค้า ไม่ได้มีประโยชน์แค่ในเชิงธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชาญฉลาดอีกด้วย 15 ความลับนี้สร้างความอยากรู้อยากเห็นและให้ความรู้สึกพิเศษแก่ลูกค้า ทำให้ไก่ทอด KFC แตกต่างจากไก่ทอดอื่นๆ ทั่วไป 12 เรื่องราวของสูตรลับนี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์แบรนด์ที่ทรงพลังและยั่งยืน เป็นการเปลี่ยนจากสูตรอาหารธรรมดาให้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมได้อย่างยอดเยี่ยม

 

Episode 3: การเดิมพันครั้งสุดท้าย – แฟรนไชส์ในวัย 65

 

 

3.1 วิกฤตที่ก่อกำเนิดการปฏิวัติธุรกิจ

 

ธุรกิจร้านอาหาร “Sanders Court & Café” ของแซนเดอร์สประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะร้านอาหารริมถนนบนทางหลวง U.S. Route 25 9 แต่ในปี 1955 เขาต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่เมื่อมีการประกาศแผนการก่อสร้างทางหลวงระหว่างรัฐ Interstate 75 ซึ่งจะสร้างเส้นทางใหม่ที่หลีกเลี่ยงเมืองคอร์บินไปโดยสิ้นเชิง 9 สิ่งนี้เป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจของเขา เพราะลูกค้าหลักคือผู้ที่เดินทางสัญจรไปมาบนทางหลวงเส้นเก่า 7

ในวัย 65 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังวางแผนเกษียณอายุ แซนเดอร์สตัดสินใจขายธุรกิจร้านอาหารของตัวเองทิ้ง 16 และเริ่มต้นเส้นทางใหม่ที่กล้าหาญยิ่งกว่าเดิม นั่นคือการเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อขายสิทธิ์แฟรนไชส์สูตรไก่ทอดของเขา 5 การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้มาจากแผนการเชิงกลยุทธ์อันชาญฉลาดในตอนแรก แต่เป็นการปรับตัวอย่างสิ้นหวังเพื่อรับมือกับภัยคุกคามภายนอกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 3 การเปลี่ยนมาใช้โมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์อย่างเต็มตัวนี้ แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นที่น่าทึ่งของแซนเดอร์สในการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

 

3.2 ตัวเลขที่บ่งบอกความมุ่งมั่น: 1,009 ครั้งของการถูกปฏิเสธ

 

การเดินทางเพื่อขายสิทธิ์แฟรนไชส์ของแซนเดอร์สไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาขับรถไปทั่วประเทศ ใช้ชีวิตและนอนในรถยนต์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ไปเคาะประตูร้านอาหารทีละร้าน เพื่อสาธิตการทอดไก่และนำเสนอสูตรลับของเขา 17 เขายอมรับว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับการถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า 1 ตัวเลขที่กลายเป็นตำนานและถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือเขาถูกปฏิเสธถึง “1,009 ครั้ง ก่อนจะมีใครสักคนยอมรับมัน” 1

ตัวเลข 1,009 ครั้งไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อมูลทางสถิติ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังที่บอกเล่าถึงความพากเพียรที่ไม่ย่อท้อของเขา 19 มันแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอันแรงกล้าในคุณค่าของผลิตภัณฑ์ของเขา แม้จะต้องถูกปฏิเสธนับพันครั้ง เขาก็ยังคงมุ่งมั่นและไม่เคยละทิ้งเป้าหมาย 18 และเมื่อในที่สุดก็มีคนตอบตกลง นั่นคือ ปีเตอร์ ฮาร์แมน เพื่อนของเขาที่เปิดร้านอาหารในเมืองซอลต์เลก รัฐยูทาห์ การร่วมมือกันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์แรกของ KFC ในปี 1952 7 แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

 

3.3 การเติบโตแบบก้าวกระโดดของอาณาจักร

 

หลังจากได้แฟรนไชส์แรกในปี 1952 อาณาจักรไก่ทอดของแซนเดอร์สก็เติบโตอย่างรวดเร็ว 16 ด้วยความช่วยเหลือจากผู้รับสิทธิ์รายแรกอย่าง ปีเตอร์ ฮาร์แมน ผู้ที่คิดชื่อ “Kentucky Fried Chicken” และสโลแกน “It’s finger lickin’ good” 7 ทำให้ยอดขายในร้านของฮาร์แมนเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าตัว 16 ภายในปี 1960 KFC มีร้านแฟรนไชส์ประมาณ 200 แห่ง และภายในปี 1963 จำนวนนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 600 แห่ง ทำให้ KFC กลายเป็นเชนร้านอาหารจานด่วนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น 16

การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ธุรกิจมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่แซนเดอร์สในวัย 73 ปีจะบริหารจัดการได้ด้วยตัวคนเดียว 3 ในปี 1964 เขาจึงตัดสินใจขายบริษัทให้กับกลุ่มนักลงทุนนำโดย จอห์น วาย บราวน์ จูเนียร์ และ แจ็ก ซี แมสซี ในราคา 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่าประมาณ 19.4 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) 2 การขายบริษัทครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญจากธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยผู้ก่อตั้ง มาสู่การบริหารจัดการแบบองค์กรที่สามารถขยายขนาดได้ในระดับมืออาชีพ 3 แซนเดอร์สมีความสามารถในฐานะผู้สร้างและนักขายที่ยอดเยี่ยม แต่การบริหารจัดการอาณาจักรขนาดใหญ่ต้องใช้ทักษะที่แตกต่างออกไป 16 ซึ่งการตัดสินใจขายบริษัทครั้งนี้ทำให้มรดกที่เขาสร้างขึ้นสามารถเติบโตต่อไปได้ในระดับโลก

 

Episode 4: มรดก, ข้อขัดแย้ง และการเชื่อมโยงสู่ประเทศไทย

 

 

4.1 ชายในชุดสูทขาว: แบรนด์แอมบาสเดอร์และนักวิจารณ์

 

แม้จะขายบริษัทไปแล้ว แซนเดอร์สยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตของแบรนด์ 17 เขายังคงเดินทางไปทั่วโลกในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ KFC 3 โดยภาพลักษณ์ในชุดสูทสีขาวและหูกระต่ายแบบ Southern gentleman ของเขากลายเป็นที่จดจำในระดับสากล 2 แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่ทุกคนคุ้นเคยนั้น ยังมีความขัดแย้งที่สำคัญซ่อนอยู่ 3

แซนเดอร์สมีความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกับผู้บริหารชุดใหม่ในเรื่องคุณภาพอาหาร เขาวิจารณ์อย่างเปิดเผยว่าเกรวี่ของ KFC ในบางสาขามีรสชาติเหมือน “อาหารสัตว์” (slop) และไก่ทอดก็มี “รสชาติเหมือนวอลล์เปเปอร์” 3 การตัดสินใจลดต้นทุนขององค์กร เช่น การเปลี่ยนไปใช้น้ำมันพืชที่มีราคาถูกลง 12 เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้สำหรับผู้ก่อตั้งที่มีความผูกพันและยึดมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เขาสร้างขึ้นมา 3 ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเสมอระหว่างวิสัยทัศน์ที่แน่วแน่ของผู้ก่อตั้งกับแรงผลักดันขององค์กรที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพและผลกำไร 4 แม้จะได้รับอิสรภาพทางการเงิน แต่สิ่งที่แซนเดอร์สให้ความสำคัญสูงสุดก็ยังคงเป็นความซื่อสัตย์และคุณภาพของสิ่งที่เขาได้สร้างขึ้นมา

 

4.2 การเดินทางสู่ “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม”: KFC ในประเทศไทย

 

เรื่องราวของ KFC ในระดับโลกได้เดินทางมาถึงประเทศไทยในปี 1984 20 เมื่อสาขาแรกได้เปิดให้บริการที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว โดย บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ได้รับสิทธิ์ในการเป็นแฟรนไชส์รายแรกในประเทศไทย 21 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แบรนด์อาหารจานด่วนจากต่างประเทศเริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดไทย 21 ปัจจุบันนี้ KFC ในประเทศไทยได้เติบโตจนมีสาขากว่า 1,000 แห่ง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอาหารของคนไทย 20

สิ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบธุรกิจของ KFC ในประเทศไทยได้มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทท้องถิ่นอย่างชาญฉลาด 21 ปัจจุบัน บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด (Yum! Brands) ยังคงทำหน้าที่เป็นเจ้าของแบรนด์และผู้บริหารจัดการด้านการตลาด แต่การดำเนินงานในระดับร้านค้าได้ถูกแบ่งให้กับผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์หลักสามราย ซึ่งได้แก่ CRG, บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (RD) และ บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA) ในเครือไทยเบฟ 21

ผู้บริหารแบรนด์ (Brand Management) ผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ (Franchisees) บทบาท (Role)
Yum! Brands บริหารจัดการแบรนด์, การตลาด, และการพัฒนาธุรกิจในภาพรวม 22
Central Restaurants Group (CRG) ดำเนินงานสาขาและลงทุนในการขยายสาขาในเครือเซ็นทรัล 21
Restaurants Development (RD) ดำเนินงานสาขาและลงทุนในการขยายสาขาใหม่ 21
The QSA of Asia Co., Ltd. (QSA) ดำเนินงานสาขาและลงทุนในการขยายสาขาใหม่ 22

โมเดลธุรกิจแบบผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์หลายรายนี้เป็นวิวัฒนาการที่ซับซ้อนของแนวคิดแฟรนไชส์ดั้งเดิมของผู้พันแซนเดอร์ส 23 โดย Yum! Brands สามารถใช้ประโยชน์จากเงินลงทุนและความเชี่ยวชาญของพันธมิตรหลายรายเพื่อเร่งการขยายสาขาในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ยังคงควบคุมมาตรฐานของแบรนด์ไว้ได้อย่างเข้มงวด 22 รูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่าหลักการสำคัญของการใช้พันธมิตรภายนอกเพื่อขยายธุรกิจยังคงมีประสิทธิภาพและสามารถปรับใช้ได้อย่างยืดหยุ่นในตลาดที่แตกต่างกันทั่วโลก

 

4.3 บทสรุปสุดท้าย: มรดกที่ยิ่งใหญ่กว่าถังไก่ทอด

 

เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์สเป็นบทเรียนที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ประกอบการทุกคนที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากชีวิตของเขาสามารถสรุปได้ดังนี้:

  • ความยืดหยุ่น (Resilience): ความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนในชีวิตของเขาสอนให้เรารู้ว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ต้องใช้ความพากเพียรและความสามารถในการลุกขึ้นยืนทุกครั้งที่ล้มลง
  • การปรับตัว (Adaptability): การที่เขาสามารถเปลี่ยนวิกฤตจากการถูกตัดขาดจากทางหลวงให้กลายเป็นโอกาสในการปฏิวัติโมเดลธุรกิจ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญกับแรงกระแทกจากภายนอก
  • นวัตกรรม (Innovation): การดัดแปลงหม้ออัดแรงดันเพื่อทอดไก่ไม่ได้เป็นแค่การแก้ไขปัญหา แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการคิดนอกกรอบที่นำไปสู่ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน
  • คุณภาพ (Quality): ความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมประนีประนอมในเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ของเขายังคงยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะขายกิจการไปแล้ว

ในวัย 90 ปี แซนเดอร์สจากไปอย่างสงบในปี 1980 24 แต่ทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่เอาไว้ นั่นคืออาณาจักร KFC ที่ขยายไปทั่วโลกและยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง 17 และเรื่องราวชีวิตของเขาก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนนับล้านทั่วโลก ดังที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า “มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่คุณจะกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในสุสาน เพราะคุณไม่สามารถทำธุรกิจอะไรได้เลยจากที่นั่น” 25

 

Facebook
Twitter
Email
Print

Category

Latest Articles

Related articles

Set your categories menu in Header builder -> Mobile -> Mobile menu element -> Show/Hide -> Choose menu
Create your first navigation menu here
Shopping cart
Start typing to see posts you are looking for.